วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทักษิณ เป็นเจ้าภาพ งานเฉลิมพระเกียรติฯ ปี 2555 อยุทธยา

จะว่าไงกันดี  5 ธันวานี้  เขาเป็นเจ้าภาพ..........

ภาพจาก http://webboard.serithai.net/topic/26714-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93-%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%82/

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ยิ่งลักษณ์........ไทยจะเข้าสู่อาเซียนในปี 2515....อีก 500 ข้างหน้า????




ลองดูในนาทีที่ 16.35 นายกเธอบอกว่าในปี 2515 เราจะต้องเตรียมตัวเข้าประชาคมอาเซียน........

ปัจจุบัน 2012.............อีก 503 ปี?

เอาเถอะผมเริ่มชินแล้ว  ความเพี้ยนด้านนี้คงที่จริงๆ

ยิ่งลักษ์........ไทยจะเข้าสู่อาเซียนในปี 2515....อีก 500 ข้างหน้า????

ลองเข้าดูครับ

http://www.youtube.com/watch?v=Cuv-aXOJVhk&feature=player_embedded#!

ลองดูในนาทีที่ 16.35 นายกเธอบอกว่าในปี 2515 เราจะต้องเตรียมตัวเข้าประชาคมอาเซียน........

ปัจจุบัน 2012.............อีก 503 ปี?

เอาเถอะผมเริ่มชินแล้ว  ความเพี้ยนด้านนี้คงที่จริงๆ

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เผยชื่อ และหน้า มือเขียนโพย นายก ยิ่งลักษณ์

วลีเด็ดนายกฯ ตำรวจไม่เลือกข้าง  ตำรวจเลือกประชาชน ในการอภิปรายเมื่อวานนั้น  เด็ดมาก  จนหลายๆคนสงสัยว่ามาจากใครอะไรยังไง

มามะมาเฉลยกัน  และนี้คือภาพครับ

1219f38.jpg

121baad.jpg

ที่มา: http://www.oknation....2/11/26/entry-2

ครับนายกไม่ได้คิดเอง  แต่มาจากทีมงานซื่อนาย ธงไซย

ทำไมต้องระบุซื่อ  ง่ายๆครับเพื่อให้รู้ว่าใครทำ  เพื่อกันการกลั่นแกล้งส่งข้อความมา

คำถามใครคือนาย ธงไชย  ผมไม่ทราบครับ  แต่ถ้าถามหน้าตายังไง  น่าจะคนนี้
  
ใครรู้จักหรืออย่างไรแจ้งดูก็ดี  ผมอยากทราบมาก.........ทำงานยากไหม  และ Thank you(3 times)ฝีมือเขาไหม?

ประมวลจาก http://webboard.serithai.net/topic/26413-%E0%B8%AA%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B0/

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สื่อภาคสนามสปริงส์นิว" ยืนยัน แก๊สน้ำตา" ถูกขว้างออกมาจากฝั่งผู้ชุมนุม



ผู้สื่อข่าวสปริงนิวส์ ยืนยันในการรายงานข่าวสดว่า ตนยืนอยู่ห่างตำรวจไม่ถึงเมตร บันทึกภาพและเห็นชัดเจนว่า แก๊สน้ำตาถูกโยนโดยผู้ชุมนุม เข้าสู่กลุ่มผู้ชุมนุมก่อน โดยที่ตำรวจยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย (นาทีที่ 2)

น่าสนใจและน่าตกใจ  เพราะทุกสื่อยืนยันชัดเจนว่าตำรวจยิง  และ ตำรวจออกมาแถลงการแล้วว่ายิงเองและยิงทำไม

สปริงนิวส์...............คุณต้องการอะไร???

ข่าวด่วน ตำรวจใช่แก็สน้ำตา กับผู้ชุมนุมแล้ว

RT @khunkupree: 08.55 ตำรวจยิงเเก็สน้ำตา บริเวณมัฆวาน http://t.co/lNzc3RJU

ภาพข่าวจากบลูสกาย


เหตุเกิดที่ ราชดำเนินนอก และ มัฆวาน


และรถปราบจราจลเริ่มออกมาแล้ว

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การ์ตูนล้อยิ่งลักษณ์.....ไม่ต้องรู้ ภาษาอังกฤษ คุณก็เข้าใจ

B4 Obama visit.jpg

"ภาพที่คุณ ไม่มีโอกาสได้เห็นตามสื่อไทย"
ภาพที่คุณไม่อาจได้เห็นในสื่อไทย.jpg

"Happy Beday"
Beday.jpg

"What she is doing."
Not to Fall in love!.jpg

"Original Sin Thai version."
Original Sin.jpg

"Obama explanation"

Obama explanation!.jpg 

credit - Stephff's cartoons 
http://webboard.serithai.net/forum/4-%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F/

เราจะสร้างอาคารสูงที่สุดในโลกใน...... 90 วัน

ผมมีคลิปหนึ่งให้ท่านชม  คลิปที่แสดงศักยภาพของการสร้างอาคารโรงแรม 30 ช้นใน 15 วัน


แน่ละ 30 ชั้นไม่ใช่อาคารสูงที่สุดในโลกผมทราบ........... แต่กำลังจะมีอาคารสูงที่สุดในโลกที่จีน Sky Tower

'Sky City' เป็นซื่ออาคารดังกล่าว จะสร้างในเมือง ฉางซา Changsa มลฑล หูหนาน ประเทศจีน  โดยเมื่อสร้างเสร็จมันจะสูงกว่า บูร์ คาลิฟา Burj Khalifa อาคารที่สูงที่สุดในโลกของดูไบด้วย

และเจ้าบริษัทมี่สร้างอาคารโรงแรม 30 ชั้นใน 15 วันนี้แหละเป็นผู้สร้างอาคารที่สูงที่สุดในโลกนี้.................
Broad Sustainable Building (BSB)
คือ บริษัทที่จะก่อสร้างอาคารดังกล่าว  และได้เริ่มมีการเตรียมการแล้ว  โดยเชื่อว่าอาคารน่าจะเสร็จในมีนาคมปี 2556 เป็นเรื่องน่าตกใเมื่อคืดว่าบริษัทนี้ไม่เคยได้สร้างอาคารที่สูงเกิน 30 ชั้นเลย  แต่ทางบริษัทได้ให้ความมั่นใจและแจ้งว่า
ด้วยเทคโนโลยีเท่าเขามี  เขาสามารถสร้างมันได้ใน 90 วัน..........
นั้นสร้างความตกใจไม่น้อย เพราะ บูร์ คาลิฟา Burj Khalifa อาคารที่สูงที่สุดในโลกที่ดูไบใช่เวลาถึง 5 ปี แน่ะ  จะว่าไปทุกอาคารที่สูงที่สุดในโลกใช่เวลาหลักปีทั้งสิ้น
นั้นทำให้ทั้งโลกจับตามอง  ในอีกไม่เกิน 1 เดือนการก่อสร้างจะเริ่มขึ้นเพื่อให้ทันเสร็จในมีนาคมปีหน้า..........ช้าสุดคือเริ่ม มกราคาปีหน้า
น่าจับตามอง

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เพื่อ**ยิ่งลักษณ์**ช่อง 3 เลยเซ็นเซอร์.....แรงเงา


เป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ในโลกออนไลน์กับละคร "แรงเงา" ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่มีบทสนทนาของพระเอก กับนางเอกในฉากห้องพักสุดหรู โดยมุนินทร์นางเอกของเรื่องพูดขึ้นมาขณะที่พระเอกต้อนรับและเชื้อเชิญให้ นั่งเก้าอี้ว่า "นึกว่า Four Seasons" ฝ่ายวีกิจ พระเอกจึงถามหยอกกลับไปว่า "คุณเคยไปด้วยหรือครับ" ซึ่งตามบทนางเองจะต้องกระเซ้ากลับมาว่า "เคยค่ะ แต่ไม่เคยไปชั้น 7 นะคะ"

อย่างไรก็ตามประโยคดังกล่าวถูกดูดเสียงไป ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุไฉนต้องมีการดูดเสียงฉากสนทนาดังกล่าว รวมถึงชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยต่างแสดงความเห็นเชื่อมโยงไปกับข่าวการเมือง "ว.5 ชั้น7 โฟร์ซีซั่นส์" ก่อนหน้านี้

คลิปละครแรงเงาช่วงเซ็นเซอร์เสียงสนทนาที่เป็นข่าวฮือฮาในโลกออนไลน์

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นายกหญิงคนแรกของไทยกลายเป็น animation .... แบบที่สาวไทยต้องร้องไห้


อย่าเพิ่งขำ  หากไปอ่านใน ยูทูบต้นฉบับ

งานน้เขาว่าสาวไทยแรงเลย

จาก http://webboard.serithai.net/topic/25787-%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3/

อองซาน ซูจี เขลา ไม่เข้าใจ ธรรมเนียมสากล


ภาพอองซานซูจีพบโอบาม่า  ถูกวิจาร์ณจากกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย  ถึงความไม่ปะสีประสาของเธอ

นี้เธอไม่รู้ธรรมเนียมเลยหรือ.......?

ผมสอบถามจึงทราบว่า อองซาน เธอผิดจริงๆ  ผิดมากๆด้วย 

ท่านทราบไหมผิดยังไง  เธอไม่มีโต๊ะกลาง..............

รู้ไหมมันผิดมาก  ทำแบบนั้นจะว่าโพยที่ไหน  มันสร้างความลำบากรู้ไหม?

คราวนายกเราก็ทีแล้ว  ยังทำอีก


รู้ไหมมันไม่สะดวกเลย  เธอไม่รู้ธรรมเนียมเลย  การต้อนรับแขกบ้าน  แขกเมืองต้องมีโต๊ะกลางให้แขกวางโพย  เธอจะเข้าใจธรรมเนียมไหม?

คนเป็นแขกได้ไม่ลำบาก  รู้ไหมการไม่มีโต๊ะกลางวางโพยมันทำงานยาก



ซูจีนี้ไม่เข้าใจธรรมเนียมสากลเลยจริงๆ  วานใครไปบอกเธอด้วย

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มาแล้ว ไทยคู่ฟ้า ตอน 2



ทหารแก่ ยินดียกเลิกคำสั่งปลด อภิสิทธิ์ ..กลัวคุก..?


---- จากกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ได้ลงนามคำสั่งให้ถอดยศและเรียกคืนเบี้ยหวัด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไม่มาชี้แจงข้อมูลตามที่คณะกรรมการให้เวลาไปนั้น

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ได้อ้างเหตุขอเลื่อนการให้การถึง 2 ครั้ง อ้างว่าไม่ทราบประเด็นที่จะต้องให้การและขอเวลาหาหลักฐาน เอกสารเพื่อนำส่งต่อคณะกรรมการ รวมถึงการเดินทางไปต่างประเทศนั้น ซึ่งที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์เคยชี้แจงพยานหลักฐานในสภาฯ และต่อสาธารณชนหลายครั้งว่ามีเอกสารหลักฐานพร้อมชี้แจง เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของตนอยู่แล้ว

ดังนั้น การที่คณะกรรมการมิได้เลื่อนกำหนดเวลาออกไป และเห็นว่ามีเอกสารหลักฐาน รวมทั้งพยานบุคคลพร้อมมูลเพียงพอ ที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ว่า นายอภิสิทธิ์ขาดการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้าประจำการ โดยมิได้รับการผ่อนผันตามกฎหมาย การบรรจุเข้ารับราชการมิชอบด้วยกฎหมาย การแต่งตั้งเป็นนายทหารสัญญาบัตรที่มียศ ว่าที่ ร.ต. มิชอบด้วยกฎหมาย และใช้เอกสารเท็จในการขึ้นทะเบียนกองประจำการนั้น และมีรายงานถึง พล.อ.อ.สุกำพล แล้ว จึงเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง และแบบธรรมเนียมทหารของกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล จึงได้อนุมัติสั่งการให้ดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการ และออกคำสั่งปลดนายทหารสัญญาบัตรออกจากราชการ ซึ่งเป็นการดำเนินการอันชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ในหนังสือคำสั่งดังกล่าว ยังระบุต่ออีกว่า เพื่อให้ความเป็นธรรมอีกชั้นหนึ่ง และเป็นไปตามที่นายอภิสิทธิ์ร้องขอ พล.อ.อ.สุกำพล จึงให้โอกาสนายอภิสิทธิ์มาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสารหลักฐานต่อคณะกรรมการ โดยให้เวลานัดหมายวัน เวลา ที่นายอภิสิทธิ์สะดวกภายใน 10 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือนี้ หากนายอภิสิทธิ์มีเอกสารหลักฐานที่แสดงถึงความถูกต้อง กรณีการเกณฑ์ทหาร หรือการผ่อนผัน การบรรจุเข้ารับราชการ การได้รับแต่งตั้งเป็นนายทหารสัญญาบัตร การขึ้นทะเบียนกองประจำการ

และหากคณะกรรมการของกระทรวงกลาโหมพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย พล.อ.อ.สุกำพล ยินดีที่จะพิจารณายกเลิกเพิกถอนคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ออกจากราชการโดยเร็ว
 
....................................................................

 กลัวคุกละสิท่าน  ยิ่งฝ่ายกฏหมายตอบไม่ได้ด้วยว่าท่านมีอำนาจไหมยิ่งชัด

จะทันไหมละนั้น  ความผิดเกิดแล้ว.........

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พระเจ้า !!! นายก ปู .....พกผ้าเช็ดปาก เดินคู่ โอบามา


ภาพจาก

 
ผม...............ตกลงนี้เธอลืมหนีบผ้าเช็ดปากกับเสื้อตัวเองเดินคู่ โอบามา  พระเจ้าภาพนี้ไปทั่วโลกนะ
 
 

เราปล่อยให้คนโกหกออกทีวีทุกวันไม่ได้! เปิดใจ 'สมจิตต์ นวเครือสุนทร'

นักข่าวสายการเมืองจอมเก๋าสังกัดช่อง 7 สี ถูกพูดถึงมากเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณีขณะสัมภาษณ์รุกเร้าตามสไตล์อยู่ที่รัฐสภา พลันก็ถูกนักการเมืองรุ่นเก่าตีตราว่า ฝักใฝ่พรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม ขณะถูกคำถามรุกหนักแบบที่เห็นจากภาพทางทีวีกันไปแล้ว
เป็นบทสนทนาที่บางจังหวะ นักข่าวสาวก็แจ้งนักการเมืองคนดังกล่าวไปว่า ปรักปรำเธอแบบนี้ไม่ได้ การสัมภาษณ์ก็ยังดำเนินไป
จน ภายหลังมีรายงานข่าวครึกโครมตามมาแบบไม่มีภาพเคลื่อนไหวว่า พอเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์เธอเดินปรี่ตามนักการเมืองคนดังกล่าวเข้าไปถามด้วย วลี หนูว่าท่านว่าเป็นขี้ข้า...หมิ่นประมาทไหม..??
ในวันที่ 2 อาชีพ “นักการเมือง” และ “ผู้สื่อข่าว” ต้องทำงานร่วมกันแบบชั่วฟ้าดินสลาย กำลังขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ไทย รัฐออนไลน์มีโอกาสได้พูดคุยกับ น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร นักข่าวสายการเมืองจอมเก๋าสังกัดช่อง 7 สี ถึงเรื่องราวเบื้องหลังดังกล่าว ยังพาไปรู้จักตัวตนกับนักข่าวสายการเมือง ที่ว่ากันว่านักการเมืองกลัวคำถาม ตรงๆ จี้ใจดำมากที่สุดคนหนึ่งในวงการ!!

Q : กรณีทะเลาะกันกับนักการเมืองคนนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น..?

A : มัน ไม่ใช่เรื่องการทะเลาะ (เสียงเข้ม) มันเป็นการทำหน้าที่ แต่เพียงว่าปฏิกิริยาที่ตอบโต้ จากแหล่งข่าวจะเป็นอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนอาจจะมีวิธีเลี่ยง บางคนก็อาจจะมีวิธีเหมือนกับขู่ บางคนก็อาจจะใช้วิธีเปลี่ยน หรือเลี่ยงประเด็นไปเลย และสิ่งที่เขาทำที่เป็นข่าวล่าสุดก็เป็นบุคลิกของนักการเมืองคนนี้

Q : ตลอดระยะเวลาที่เป็นนักข่าวเจอกับนักการเมืองที่เป็นข่าวนี้มากี่ปีแล้ว..?

A :
20 ปี แล้วค่ะ ตั้งแต่เข้ามาการเมือง เข้ามาทำข่าว

Q : วิธีการที่นักการเมืองคนนี้ใช้กับนักข่าวก็ยังเป็นแบบนี้อยู่เหมือนเดิม..?

A : จริงๆ แล้วช่วงที่เราเข้ามาทำข่าวใหม่ๆ แล้วเขาเป็นรัฐมนตรี ยังเป็นคนมาเล่าว่าใน ครม.มีการประชุมกัน แล้วก็พูดว่าให้ระมัดระวังนักข่าวคนนี้ นักการเมืองคนนี้ยังพูดใน ครม. เลยว่านักข่าวคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีนอกไม่มีในอะไรหรอก เขาทำตามหน้าที่

Q : ฟังเหมือนเขาเข้าใจหน้าที่ แต่ครั้งนี้ทำไมออกมาในรูปแบบนี้ ..?
A : ไม่ ทราบค่ะ มันอาจจะเป็นเพราะว่าคำถามที่เรายิงไปมันมีผลกระทบต่อจิตใจ และที่สำคัญไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากตอบก็เลยทำให้ภาพมันออกมาแบบนั้นถามว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหม ไม่เสียใจแม้แต่นิดเดียวเลยค่ะ ส่วนกลัวไหม ก็ไม่กลัว จริงๆ ตอนนั้นที่เขาพูดว่าเราเป็นฝ่าย ปชป. การกระทำแบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้เราสัมภาษณ์เขาจะพยายามโยงเราไปพวก ปชป.ตลอดเวลา แล้วมันก็เป็นการชี้นำผ่านสื่อทีวีมากมายสื่อออกไป ที่ว่านักข่าวคนนี้เลือกข้างโดยที่เราไม่มีสิทธิ์ได้ชี้แจงอะไร แต่เขากล่าวหาเรามันผ่านสื่อทุกช่องเลย แล้วถ้ายิ่งไปเปิดทีวีฝั่งคนสนับสนุนพวกเขาจะยิ่งเกลียดเรามากขึ้นแน่นอน ทั้งๆ ที่เราไม่คิดว่าต้องเป็นศัตรูกัน เรายังเคยฝากน้องที่ช่อง 7 ที่ สนิทกับนักการเมืองคู่กรณีไปบอกว่าเวลาที่สัมภาษณ์ไม่ต้องเรียกชื่อเราออก ทีวีก็ได้ เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันส่งผลกระทบเหมือนกับผลักให้เราไปอยู่อีกข้างหนึ่ง ซึ่งนักการเมืองคู่กรณีก็รู้อยู่แล้วว่าเราไม่ได้เป็นแบบที่เขากล่าวหา เรายังฝากบอกต่อไปตลอดเลยว่า ถ้ายังทำแบบนี้อยู่อีกเราจะฟ้อง

หลัง จากนั้นก็เพิ่งมาเจอสัมภาษณ์ที่เป็นข่าวออกไปแล้วมันรุนแรงกว่าที่ผ่านๆ มา คือแบบเย้ยหยัน แล้วก็ใช่คำว่า “ฝักใฝ่” ย้ำแล้วย้ำอีก เพราะ “ฝักใฝ่” ตอนนั้นเราถึงพูดเรื่องฟ้องว่าหนูฟ้องท่านได้นะ เพราะว่าถือว่าได้สื่อสารกับเขาไปแล้วตั้งแต่ต้นว่า อย่าทำแบบนี้อีกเลยมันไม่ดีแต่ก็ยังทำอีก ตอนนั้นก็คิดว่ากำลังทำหน้าที่อยู่ก็ทำมันจนจบ ปล่อยให้เขาว่าเราไปเรื่อยๆ เขาเป็นรัฐมนตรีก็ต้องให้เกียรติเขาด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นคนยังไงก็ต้องให้เกียรติเพราะเขาเป็นรัฐมนตรี เป็นรองนายกฯ ของประเทศนี้

Q : ในข่าวบอกคุณรอจนทำหน้าที่สัมภาษณ์เสร็จ ..?

A : ใช่, หลังจากสัมภาษณ์เสร็จถึงรอให้เขาเซ็นชื่อ จึงเปิดประตูออกเพราะว่าเรารู้สึกว่า เราถูกกระทำโดยไม่ยุติธรรม ต้องปกป้องสิทธิ์ของตัวเองที่สำคัญเราควรที่จะต้องทำให้คนที่มีอำนาจรู้ว่า เขาไม่สามารถที่จะใช้อำนาจทำอะไรกับประชาชนก็ได้ เพราะทุกคนมีสิทธิทางกฎหมายที่เท่าเทียมกัน เราถึงถามเขาว่า แล้วท่านบอกว่าการฝักใฝ่ ปชป.ไม่หมิ่นประมาทเนี่ย แล้วถ้าหนูเรียกพี่ว่าเป็น ขี้ข้าทักษิณ หมิ่นประมาทไหม เขาก็หน้าตกใจ เขาบอกแบบนี้หมิ่นประมาท เราก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นท่านก็มีสิทธิตามกฎหมาย ไปแจ้งความ สน.ดุสิต เหมือนที่ท่านแนะนำให้หนูไปทำเราเพียงแค่ต้องการสื่อสารว่า คนทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย แล้วอย่ามารังแกกัน อย่ากระทำกัน แล้วทุกคนมีสิทธิที่จะต้องปกป้องตัวเองได้

Q : หลังจากนี้จะดำเนินการต่ออย่างไร ฟ้องร้องหรือไม่..?

A : ไม่ค่ะ เพราะถือว่าเราก็ได้ว่าเขาไปแล้ว เว้นแต่ว่าถ้าเขาฟ้อง เราก็ฟ้องกลับ ในข้อหาเดียวกันด้วย

Q : คุณเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า นักข่าวไม่สมควรแค่ตั้งคำถาม แต่เราต้องหาความจริงด้วย วันนี้ยังยืนยัน และรู้สึกอย่างนั้นอยู่ไหม..?

A :
ใช่ ค่ะ แล้วทุกวันนี้ที่สังคมมีปัญหาแยกถูกผิดไม่ได้ ก็เพราะสื่อมวลชนถามหาแต่ความเห็น แต่ไม่ให้ความจริงกับประชาชน ซึ่งวันนี้เราก็ยังยืนยันว่าจะทำอย่างนั้นอยู่ แล้วก็อยากจะตั้งความหวังให้สื่อมวลชนกลับมาทบทวนตัวเองว่าเราคือส่วนนึงที่ ทำให้สังคมนี้แตกแยกหรือเปล่า เช่น “การนำเสนอคำพูดคนโกหกทุกวัน จนแม้กระทั่งประชาชนแยกแยะไม่ได้ว่านี้คำโกหกหรือความจริง มันก็เหมือนกับการให้ยาพิษกับประชาชนทุกคน ค่อยซึมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนี้เขาก็แยกไม่ออก เหมือนเรื่องชายชุดดำมันเป็นได้ยังไงในสังคมนี้ เห็นกันชัดเจนขนาดนั้น ต้องมานั่งถกเถียงว่ามีหรือไม่มี เป็นเพราะว่าคนที่เขาคิดที่จะเปลี่ยนแปลงเขารู้ข้อจำกัดของคนไทยว่าไม่อ่าน แล้วก็เชื่อคนง่ายฟังคนเชื่ออย่างเดียวไม่อ่านไม่ค้นคว้า เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นอันตรายที่สุดแหละสำหรับสังคมในขณะนี้

Q : ในสนามเวลาสัมภาษณ์เวลายิงคำถามตรงๆ คุณดูแปลกแยกกับนักข่าวคนอื่นที่มักจะเออออตามนักการเมืองบ้างไหม..?

A : เราไม่รู้ว่าแต่ละคนคิดยังไง แต่ส่วนตัวไม่คิดอะไร เราทำหน้าที่เสร็จก็จบ

Q : ตั้งแต่เกิดเรื่องกรณีล่าสุดผู้บริหารหรือหัวหน้าข่าวในสังกัดคุณต่อว่าอะไรบ้างไหม..?

A : ยังไม่มีอะไรเลย

Q : หลังจากนี้เราก็ยืนยันที่จะทำหน้าที่เหมือนเดิม ดุดัน ถามตรงๆ ตีแสกหน้า..?

A : ใช่ค่ะ

Q : ถามถึงกรณีคดีเสื้อแดงส่ง E-mail ข่มขู่ เรื่องฟ้องร้องไปถึงไหนแล้ว..?

A : วัน ที่ 6 ธันวาคม นี้ ศาลแขวงดุสิตจะตัดสินค่ะว่า จะรับฟ้องไว้รึเปล่า ซึ่งความตั้งใจของเราก็คือจะสู้กันถึงที่สุดไม่ยอมความแน่นอน เพื่อที่จะบอกให้ทุกคนรู้ว่ามันมีความถูกความผิดอยู่ แล้วแต่ละคนจะต้องมีความยับยั้งชั่งใจก่อนที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ฉะนั้นเมื่อจบคดีนี้เขาอาจจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยก็ได้ สมมติถ้าตัดสินว่าผิดยังไงก็ไม่ติดคุก เพราะมันลหุโทษ และเขาก็ไม่เคยทำความผิดก็รอลงอาญากันไป เพียงแต่เราอยากจะบอกกับสังคมว่า คนไทยไม่ค่อยคิดจะรักษาสิทธิของตัวเองแล้วบางทีมันกลายเป็นความเคยชิน ที่ทำให้ถูกกระทำแล้วกลายเป็นปมในใจของตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วเราสามารถลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมมันคือกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ก็อยากให้กฎหมายมันมีความศักดิ์สิทธิ์ อยากสื่อสารไปยังคนที่ใช้กฎหมู่ได้รู้ว่า เขาต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย

Q: รู้สึกอย่างไรกับคำว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ที่นักการเมืองคนดังกล่าวพูดตีตราให้คุณ...?


A :
เขาอยากพูดอะไรก็พูดได้หมดนะคะ แต่ว่าในการเป็นนักข่าวเราต้องยอมรับความจริงว่า ไม่ว่าเราจะประจำอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะยาวนานแค่ไหน มันต้องมีความสนิทสนมกับแหล่งข่าวเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าต้องบอกก่อนเลยว่าเราไม่เชื่อเรื่องความเป็นกลาง ในเรื่องความรู้สึก ความเป็นกลางไม่มีในเรื่องของความถูกความผิด แต่ความเป็นกลางต้องมีในการนำเสนอข้อเท็จจริงนั่นคือต้องแยกแยะได้ระหว่าง การทำงาน แล้วก็เรื่องส่วนตัว


Q : ตกลงฝักใฝ่ประชาธิปัตย์หรือไม่...?

A : เรา ทำงานประจำพรรคนี้ แต่เราไม่ใช่คนของพรรค และก็ไม่ได้ประจำที่พรรคนี้อย่างเดียวเราอยู่ที่สภาอยู่องค์กรอิสระ ตั้งหลายปี ซึ่งการกล่าวหาแบบนี้น่าจะมาจากกรณีที่เราเขียนหนังสือถึงคุณอภิสิทธิ์ 2 เล่ม เล่มหนึ่งมันก็คือเรื่อง ใครว่าผมอภิสิทธิ์ กับอีกเล่มหนึ่ง อภิสิทธิ์ คนเดิมบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ตรงนั้นมันก็เป็นการเขียนในเชิงเล่าประสบการณ์ข่าวจากการทำงานของเรา ในมุมมองของนักข่าวที่มองคุณอภิสิทธิ์ ว่าเป็นอย่างไร

ตอนเขียน หนังสือเล่มแรก ก็คิดอยู่นานเหมือนกันว่า เราจะต้องถูกผลักมาว่าชื่นชมพรรคนี้เป็นพิเศษ แล้วเรายังเขียนไว้ในคำนำว่า “สิ่งที่เขียนตรงนี้มันอาจส่งผลกระทบให้คนมองเราไปในแง่แบบนั้น” แต่เราคิดว่า มันเป็นมุมมองที่ไม่เคยปรากฏในสาธารณะ กับคนที่เคยเขียนถึงคุณอภิสิทธิ์ อย่างเรื่องใครว่าผมอภิสิทธิ์ทุกคนที่อ่านจะบอกว่าเหมือนคุณอภิสิทธิ์ จับต้องได้ จากเดิมที่แบบเหมือนเป็นนักการเมือง คิดว่าเราอยากเขียนในมุมมองที่มันแตกต่างไปจากส่วนอื่น ๆ จริง ๆ เราก็ไม่ได้เขียนถึงคุณอภิสิทธิ์คนเดียว พี่เขียนถึง คุณกรณ์ จาติกวณิช แล้วก็เขียน เรื่องไอ้ชาติหมาอีกเรื่องนึง แต่ถ้าถามว่าจะให้เราไปเขียนเรื่องพรรคเพื่อไทยได้ไหม เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวเขา ไม่ได้อยู่กับเขา ไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไง


Q : เป็นคนถามแรงๆ แบบนี้ถูกคุกคามบ้างไหม..?

A : ช่วง เสื้อแดงมี แต่ตอนนี้ไม่มีค่ะ ถามว่าต้องระวังตัวไหมก็ปกติ แต่ก็มีครอบครัวเป็นห่วงบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นเตือนให้เลิกอาชีพนี้ จริงๆ เขาเตือนตั้งแต่คดีที่เราไปฟ้องเรื่องอีเมล์ข่มขู่แล้วว่าไม่อยากให้ฟ้อง แต่พอเราอธิบายให้ฟัง เขาก็พูดคำนึง "แม่อยู่ข้างลื้อ" เราก็ชื่นใจ แต่วันเกิดเรื่องกับนักการเมืองล่าสุดกลับไปบ้านปุ๊บเขาก็บอกว่า "เอาอีกแล้ว" แล้ว (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร


Q : เป็นสื่อที่อยู่ระหว่างเขาควายแบบนี้ เคยเบื่อ หรือถึงขั้นคิดจะเลิกอาชีพนี้ไหม..?

A : ไม่เคยเบื่อเลยค่ะ อยากทำจนกระทั่งไม่มีแรงทำ ทำจนกว่าเราจะเกษียณ ตอนนี้อายุ 43 ปี

Q : อยู่ในวงการมานาน ยุคไหนในสายตาคุณที่ถือว่าสื่อโดนบีบมากที่สุด..?

A :
ยุค นี้ (ตอบเร็ว) เราคิดว่าเป็นยุคที่เลวร้ายที่สุดของสื่อ เพราะว่าในช่วงของอดีตผู้นำพลัดถิ่นมันอาจจะเป็นช่วงที่เรียกว่าแทรกซึม แทรกแซง แต่ว่าในยุคปัจจุบันมัน แทรกซึม แทรกแซง แทรกซื้อ และสมยอม ไอ้การสมยอมคืออันตรายที่สุดของสังคม เพราะมันให้ข้อมูลที่เป็นเท็จกับประชาชนทุกวันๆ อย่างที่พูดว่ามันเป็นเหมือนยาพิษ แล้วประชาชนก็แยกแยะผิดถูกไม่ได้ จริงๆแล้วอยากให้สื่อมวลชน โดยเฉพาะองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาชีพอย่างเราได้ลองทบทวนดูว่า มันควรมีอะไรบ้างที่ควรทำอย่างจริงจังให้เป็นรูปธรรม
อย่างเช่น บอยคอตได้ไหมนักการเมืองคนนี้โกหกทุกวัน ไม่สัมภาษณ์ 7 วัน เพื่อให้เห็นว่า คนๆ นี้เป็นอย่างไร แล้วให้สังคมได้เห็นแต่ว่า มันคงเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราคิดว่ามันควรจะเป็น เพราะว่าอย่ามาอ้างคำว่าเป็นกลางมันเป็นกับดักให้ตัวเอง คนส่วนมากจะอ้างความเป็นกลาง บางคนก็อ้างเพราะว่าติดกับดักนี้จริงๆ บางคนก็อ้างเพื่อที่จะไม่ได้ต้องไปเจ็บตัว รู้มาก แต่จริงๆ แล้วการที่เราบอกว่าเราต้องเสนอความเห็นของคนคนนี้ทั้งๆ ที่เรารู้ ว่าเขาโกหกนั่นก็แสดงว่า เรากำลังทำผิดหน้าที่สื่อสารมวลชน ในฐานะที่เป็น Gatekeeper (Gatekeeper Theory ทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูข่าวสาร) หรือ ประตูในการกลั่นกรองข่าวสารสังคมไทยตอนนี้ การกลั่นกรองข่าวน่ะมันเสียของดีของเสียไหลออกมาหมดเลย คนแยกไม่ออกว่าอะไรดี อะไรชั่ว


Q : ในมุมมองของคุณ นักข่าวที่ตั้งคำถามเพื่อค้นหาความจริงในวงการเราคิดว่าจะเหลือสักกี่เปอร์เซ็นต์...?

A : ไม่ ถึง 10 % ค่ะ แล้วพี่คิดว่าสื่อมวลชนยุคใหม่เรื่องที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งคือเขาไม่ได้ คิดว่า “สื่อมวลชนคือวิชาชีพ แต่คิดว่ามันเป็นอาชีพ” ที่มีเงินเดือน ซึ่งตรงนั้นมันทำให้จิตวิญญาณในการที่จะตรวจสอบน้อยลง (เน้นเสียง) กลายเป็นทำหน้าที่เป็นแค่บุรุษไปรษณีย์ ในการที่จัดส่งสารเท่านั้นเอง หมดข่าวแล้วจบกัน ไม่ได้รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว ความเดือดร้อนของประชาชนไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดว่าประเทศกำลังจะล่มสลายหรือ เปล่า ถ้ามวลชนมีจิตวิญญาณที่คิดว่าประเทศเดือดร้อนไปกับความล้มเหลวของประเทศมัน จะเกิดคำถามขึ้นมา ด้วยตัวเอง มากกว่าที่จะต้องตั้งคำถามกับนักการเมือง แต่ตอนนี้เรามองไม่เห็นในนั้น

Q : อยากจะฝากอะไรกับนักการเมืองที่กลัวหรืออคติคุณบ้างไหม..?


A : ไม่, คิดว่านักการเมืองกลัวเรานะ แต่คิดว่าเขากลัวความจริง แค่อยากจะบอกว่าการทำหน้าที่ของสื่อก็มีสิทธิ์ที่จะถาม แต่ในขณะเดียวกันนักการเมืองมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบก็ได้ แต่ว่าต้องเคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกันไม่ใช่มาคุกคามกัน อีกอย่างนึงก็คือว่าคนเป็นนักข่าวมีหน้าที่ตั้งคำถามเพื่อให้เกิดประโยชน์ กับประชาชน ไม่ได้มีหน้าที่ตั้งคำถามเพื่อเอาใจผู้นำประเทศ

จาก  http://www.thairath.co.th/content/life/306871

พระสงฆ์ ห่มแดง ทำพิธี จ้อง พระอาทิตย์


ชาบู ชาบู...การแก้กรรมด้วยการจ้องดวงอาทิตย์...ทางจักษุแพท์ขอแนะนำว่า กรรมใครก็กรรมมัน ท่านทำอย่างนี้ กรรมมันจะตกมาอยู่ที่ดวงตาของท่านนะขอรับ...คนไม่หยุดสร้างเวรสร้างกรรม จะแก้กรรมได้อย่างไร//มินNo-R..
---------------
หลวงพ่อพันเทวา ถือเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังของเชียงใหม่และดินแดนล้านนา มีชื่อเสียงทางด้านวิชาอาคมจนเป็นที่นับถือของชาวเชียงใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง และเป็นพระอาจารย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ช

ินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่มีกิจกรรมและการเคลื่อนไหวครั้งใด มักจะนิมนต์ หลวงพ่อพันเทวา มาทำพิธีทุกครั้ง

ล่าสุดหลวงพ่อพันเทวา ยังทำพิธีจ้องมองพระอาทิตย์ บริกรรมคาถาเสริมดวงให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ มาหลายครั้ง และครั้งนี้ทำการเพ่งดวงอาทิตย์เสริมดวงให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะอีกไม่กี่วันรัฐบาลต้องรับศึกหนักจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน รวมทั้งม็อบเสธ.อ้าย ที่กำลังจะรวมตัวขับไล่รัฐบาล.
........................................................ 
 
ให้ความเห็นใดๆไม่ได้เพราะผมไม่ได้นับถือพุทธ ขอนำเสนอเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แน่ใจว่าป้ายที่ปิดทับ ป้าย ราชินีฯท่าน ไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีเจ้าของ

  กรณีติดป้ายหนุน “ปู” ทับป้ายเฉลิมพระเกียรติพระราชินีนั้น  ได้มีคำกล่าวจาก

นายกเทศมนตรีตำบลป่าแดด อ.เมืองเชียงใหม่ ที่เกิดภาพดังกล่าว

ได้แจ้งแก่นักข่าวว่า
ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปปลดป้ายผ้าสนับสนุนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดังกล่าวที่ปิดทัพป้ายเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ลงแล้วตั้งแต่เวลาประมาณ 8 โมงเศษวันนี้(16 พฤศจิกายน 2555)
      
       นายรุ่งปรีชาอ้างว่า ไม่รู้ว่าป้ายผ้าสีแดงสนับสนุนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นของกลุ่มใด ทราบเพียงว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจ้างบริษัทเอกชนทำป้ายผ้านี้ขึ้นมาแล้วนำมาติดผิดจุด ซึ่งตนก็ได้สั่งให้ปลดลงแล้วหลังจากทราบเรื่อง
......................................................

วันนี้ผมได้ภาพชุดหนึ่งน่าสนใจ


เห็นอะไรไหม?

เนื้อหาเดียวกันหมด...................

แน่ใจหรือ  ป้ายนี้ไม่มีเจ้าภาพ ไม่รู้ว่าใคร  กระจายได้ทั่วประเทศและแนวเดียวกันหมด

ไม่รู้จริงๆหรือ?

ผิดฝา ผิดตัว ..การ์ตูน ชัย ราชวัตร

จาก http://www.thairath.co.th/pol/comic/chai/ch35/p18

ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก

มันเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนมักจะบ่นกันว่า
รูปแบบการใช้ชีวิตของนักการเมือง
มักจะแตกต่างหรือแยกตัวออกไปห่างไกลมาก
จากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง  




แต่ไม่ใช่ประธานาธิบดีอุรุกวัย 
ที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านไร่ที่ซอมซ่อและใช้จ่ายน้อยที่สุด
การซักอบรีดเสื้อผ้าทำกันที่นอกบ้าน
น้ำมาจากสระในไร่ ที่รกเรื้อไปด้วยวัชพืช  
มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่คอยอารักขา 
และมานู้เอหล่า  Manuela สุนัขสามขาเฝ้าบ้านอีกตัว


บ้านไร่แห่งนี้เป็นทำเนียบบ้านพักประธานาธิบดีของอุรุกวัย
โฮเซ่  หมู่ฮิก่า Jose  Mujica  
ที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตแตกต่างกับผู้นำชาติอื่น ๆ ในโลกหลายคนอย่างเห็นได้ชัดเจน
ประธานาธิบดี Mujica  หมู่ฮิก่า ไม่ยอมใช้บ้านพักหรูหราประจำตำแหน่งประธานาธิบดี
ที่ประเทศอุรุกวัยที่จัดไว้ให้สำหรับผู้นำประเทศ  
แต่เลือกที่จะอยู่ที่บ้านพักของภรรยา  
สถานที่ตั้งอยู่บนถนนลูกรัง 
นอกเขตเมืองหลวง มอนเตวิเด Montevideo
 
 
 
ทั้งประธานาธิบดีและภรรยาต่างทำงานบนที่ดินด้วยตนเอง  
เช่น ปลูกดอกไม้ต่าง ๆ
วิถีชีวิตเรียบง่ายแบบนี้ และความจริงที่ว่าเขาบริจาค 90%ของเงินเดือน
ทุกเดือนเพื่อการกุศล  
เงินเดือนประธานาธิบดีแต่ละเดือนเทียบเท่ากับ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ
(7,500£) หรือ 360,000-บาท(อัตราแลกเปลี่ยนที่ 30.-บาทต่อหนึ่งดอลล่าสหรัฐ)
หรือเขาขอรับเงินเดือนเพียงเดือนละ 36,000.-บาท  
เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับการบันทึกว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก
 
 
 
" ผมอาจจะเป็นคนแก่ที่แปลกประหลาด แต่นี่เป็นทางเลือกที่อิสระ 
ผมเคยใช้ชีวิตแบบนี้มามากแล้ว  ผมอยู่ได้เป็นอย่างดีกับสิ่งที่ผมมี "
เขากล่าวขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่าในสวน 
โดยรองนั่งด้วยเบาะชิ้นโปรดของสุนัข  Manuela มานู้เอหล่า
 
การบริจาคเงินเดือนเพื่อการกุศลของเขา
เป็นประโยชน์ต่อคนยากจนและผู้ประกอบการขนาดเล็ก  
นั่นหมายความว่ารายรับต่อเดือนของเขา 
อยู่ในระดับเดียวกันกับรายได้เฉลี่ย/เดือนของประชาชนอุรุกวัย
อยู่ที่ $775(£485)เดือนหรือเดือนละ 23,250.-บาท
 
 
 
ความมั่งคั่งที่มีอยู่ทั้งหมดของประธานาธิบดี 
คือ รถเต่า(รถไพร่) Volkswagen รุ่นปี 1987   
ในปี 2010 เมื่อมีการประกาศบัญชีแสดงรายการ
ทรัพย์สินและหนี้สินประจำปีของพนักงานรัฐแต่ละราย  
ตามกฎหมายที่มีผลบังคับใช้กับพนักงานรัฐในอุรุกวัยทุกนาย 
ประธานาธิบดีได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน 
โดยมีทรัพย์สินมูลค่า $1,800(£ 1,100)หรือ 54,000.-บาท
นั่นคือมูลค่าราคาซื้อขายรถเต่า(รถไพร่)Volkswagen รุ่นปี 1987 
Volks=ประชาชน/ไพร่ wagen=รถยนต์ 
 


ในปีนี้เขาได้เพิ่มจำนวนครึ่งหนึ่งของสินสมรส 
(คำนวณจากสินทรัพย์ของภริยาครึ่งหนึ่ง) 
ประกอบด้วยบ้านพร้อมที่ดิน รถแทรกเตอร์
มูลค่า $215,000 (£ 135,000)หรือ 6,450,000.-บาท
ทรัพย์สินของเขาจำนวนนี้เป็นแค่สองในสามของ
รองประธานาธิบดี Danilo Astori ด่านิโล้ อัสโตหรี่
ที่บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน   
และเป็นเพียงแค่หนึ่งในสามของบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน 
ที่เปิดเผยของอดีตประธานาธิบดี Tabare Vasquez ต่าบ๊าเร วาซเกรส
 
 
 
ประธานาธิบดี Mujica หมู่ฮิก่า ได้รับเลือกตั้งในปี 2009 
หลังจากใช้เวลาช่วงปี 1960 และ 1970 
ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของนักรบกองโจรติดอาวุธฝ่ายซ้าย Tupamaros ตู๊ปาม้าโหลด  
ในประเทศอุรุกวัย ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนักรบปฏิวัติคิวบา(เช กูวาร่า กับ ฟิเดล คาสโตร)
เขาเคยถูกยิงถึงหกครั้ง และติดคุกเป็นเวลา 14 ปี (ช่วงปี 1970-1985) 
เป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากที่สุด 
ที่ถูกกักขังภายใต้สภาพห้องขังที่ไม่เอื้ออำนวยและการถูกขังเดี่ยว 
จนกระทั่งเขาถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระในปี 1985 
เมื่อประเทศอุรุกวัยเดินหน้าเข้าสู่ระบบประชาธิปไตย
 
 
ประธานาธิบดี Mujica หมู่ฮิก๊า กล่าวว่า  
" หลายปีที่ผ่านมาในคุก ได้ตกผลึกความคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิต
ผมถูกเรียกว่า  ประธานาธิบดีที่ยากจน แต่ผมไม่รู้สึกว่ายากจนเลย  
คนที่ยากจน คือ บรรดาคนที่ทำแต่งานเท่านั้น 
เพื่อพยายามที่จะใช้ชิวิตอย่างหรูหรา และมักจะต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ  " 
 
" นี่คือหลักการอิสระภาพ หากคุณไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายแล้ว 
คุณไม่จำเป็นต้องทำงานหนักตลอดทั้งชีวิตของคุณเสมือนเป็นทาส 
เพียงเพื่อจะมีและต้องหวงแหนกับทรัพย์สินพวกนั้น 
และดังนั้นคุณจะมีเวลาว่างสำหรับชีวิตตนเองมากขึ้น "
 
" ผมอาจจะเป็นคนแก่ที่ดูประหลาด แต่นี่เป็นทางเลือกที่อิสระภาพ "


 ผู้นำอุรุกวัย ได้ย้ำประเด็นที่คล้ายกันเมื่อได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด  Rio+20 ในเดือนมิถุนายนปีนี้ 


ขยายความที่มาของ Rio+20 ตาม link ย่อ http://goo.gl/3LN8l
 
Rio+20 คือชื่อที่เป็นที่นิยมเรียกของ “การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
(United Nations Conference on Environment and Development- UNCED)” 
หรือ Earth Summit ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่  4-6 มิถุนายน 2012 
ที่เมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีหัวหน้ารัฐบาลจากประเทศต่างๆ 
เข้าร่วมประชุมกว่า 150 ประเทศ ซึ่งการประชุม Rio+20 นี้ ถือเป็นโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปี 
การประชุม Earth Summit ในปี 1992 ซึ่งผลจากการประชุมในครั้งดังกล่าว
ได้ก่อให้เกิดกระแสแนวความคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จนได้รับการยอมรับต่อสาธารณชนในวงกว้าง 
 
การประชุม Rio+20 มีการกำหนดหัวข้อหลักในการประชุมไว้ 2 เรื่องคือ 
เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดความยากจน 
(Green Economy in the Context of Sustainable Development and Poverty Eradication) 
และการปฏิรูปเชิงสถาบันเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Institutional Framework for Sustainable Development)    
 
แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดความยากจน
นั้นมาจากการที่ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนนั้น
กลับต้องแลกมาด้วยการสูญเสียทรัพยากรที่มีค่า และคุณภาพสิ่งแวดล้อมก็เสื่อมโทรมลง 
รวมทั้งเกิดปัญหาการกีดกันทางสังคม คนจนไม่ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาเท่าที่ควร 
 
เศรษฐกิจสีเขียวในหัวข้อนี้เน้นย้ำว่าไม่ได้พูดถึง บริบทการพัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อมแต่เพียงอย่างเดียว 
เพราะการจะไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้นั้นจำเป็นต้องมีการจัดการระบบเศรษฐกิจ
ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและถูกทางด้วย 
แต่สิ่งที่ทั่วโลกต่างเป็นกังวลในการก้าวไปสู่ความเป็นเศรษฐกิจสีเขียวคือ
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของการขาดแคลนน้ำ 
และการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ทั่วโลก  ซึ่งอาจทำให้เกิดการชะลอตัวในการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้
 
การปฏิรูปเชิงสถาบันเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปแบบการจัดองค์กร 
การปฏิรูปสถาบันและโครงสร้างต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านสิ่งแวดล้อม 
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายของการพัฒนาที่ยั่งยืน
เพื่อการบริหารจัดการอย่างประสิทธิภาพมากขึ้น 
โดยการออกเป็นนโยบายหรือมาตรการต่างๆ

ในที่ประชุม Rio+20 พวกเราต่างพูดกันตลอดในช่วงบ่ายทั้งหมด
เกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อดึงมวลชนออกจากความยากจน
แต่สิ่งที่พวกเรากำลังคิดอยู่ เราต้องการรูปแบบการพัฒนา
และการบริโภคแบบประเทศที่ร่ำรวยหรือเปล่า 
 
ผมขอถามคุณในตอนนี้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ 
ถ้าคนอินเดียจะมีสัดส่วนการใช้รถยนต์ต่อครัวเรือนเช่นเดียวกันกับคนเยอรมัน  
แล้วจำนวนออกซิเจนในอากาศที่จะเหลืออยู่เท่าไรละ ? 
 
โลกใบนี้ไม่มีทรัพยากรเพียงพอสำหรับคนเจ็ดหรือแปดพันล้านคน 
ที่สามารถบริโภคและสร้างของเสียในระดับเดียวกัน 
อย่างที่เห็นกันอยู่ในสังคมที่ร่ำรวยทุกวันนี้   
มันเป็นระดับของการบริโภคที่มากเกินไป ที่ทำร้ายโลกของเรา “
 
ประธานาธิบดี Mujica หมู่ฮิก๊า โทษผู้นำส่วนมากของโลก 
ที่มัวเมามืดบอดในความคิด ที่จะยกระดับความเจริญก้าวหน้าด้วยการบริโภค  
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นในทางกลับกัน มันจะหมายถึงจุดจบของโลก
 
 
ถึงอย่างไรก็ตามมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างประธานาธิบดีมังสวิรัติ Mujica หมู่ฮิก๊า 
กับบรรดาเหล่าผู้นำคนอื่น ๆ เพราะเขามีภูมิคุ้มกันชีวิตทางการเมืองมากกว่า 
นักการเมืองคนอื่น ๆ มักจะมีชีวิตทางการเมืองที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ (มีขึ้นมีลงสลับกันไป)
" มีหลายคนรู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างมากกับประธานาธิบดี Mujica หมู่ฮิก๊า 
ในการใช้ชีวิตแบบนั้น แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขาหลุดพ้น
จากการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่รัฐบาลทำอยู่ ” 
เป็นคำพูดของ Ignacio Zuasnabar อีนนากซี ซัวซะบา 
นักหยั่งเสียงทางการเมืองอุรุกวัย 
 
ฝ่ายค้านระบุว่า ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศที่ผ่านมา 
ไม่ได้ส่งผลดีขึ้นให้กับการบริการสาธารณะทั้งในด้านสุขภาพและการศึกษา 
และนับตั้งแต่ครั้งแรกของเลือกตั้งในปี 2009 
ความนิยมในตัวเขาได้ลดลงต่ำกว่า 50%
 
 
ในปีนี้เขายังโดนโจมตีจากการเคลื่อนไหว
ในเรื่องที่เป็นประเด็นขัดแย้งระดับชาติสองเรื่อง 
คือ รัฐสภาอุรุกกวัยเพิ่งผ่านกฎหมายอนุญาต
การให้ทำแท้งหญิงที่ตั้งครรภ์ไม่เกินกว่า 12 สัปดาห์  
ซึ่งต่างกับอดีตประธานาธิบดีที่ใช้สิทธิ์ยับยั้ง  
แต่ประธานาธิบดี Mujica หมู่ฮิก๊า ไม่ใช้สิทธิ์ยับยั้งกฎหมายฉบับนี้
 
เขายังสนับสนุนการอภิปรายได้อย่างเสรีให้ถือว่า
การเสพย์กัญชาเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย  
และในกฎหมายจะอนุญาตให้รัฐทำหน้าที่ผูกขาดในการค้าขายกัญชาด้วย
"การเสพย์กัญชาไม่ใช่เป็นเรื่องที่ต้องวิตกกังวลอย่างมากที่สุด  
แต่การค้ายาเสพติดคือปัญหาที่แท้จริง" เขาพูดไว้
 
อย่างไรก็ตามเขาไม่จำต้องกังวลอย่างมากเกี่ยวกับคะแนนความนิยมของเขา
เพราะตามกฎหมายอุรุกวัยระบุไว้ว่า 
เขาไม่ได้รับอนุญาตที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2014 
พร้อมกับวัย 77 ปี เขาควรจะถอยห่างออกจากการเมืองโดยสิ้นเชิงก่อนจะอยู่นานเกินไป
เขามีสิทธิ์ได้รับเงินรัฐสวัสดิการของรัฐ  
ซึ่งแตกต่างจากอดีตประธานาธิบดีคนอื่น ๆ 
เขาไม่รู้สึกว่ารายได้ลดลงเป็นอย่างมากจากที่เคยได้รับมา
 

Tupamaros กลุ่มกองโจรติดอาวุธฝ่ายซ้าย

เกิดขึ้นครั้งแรกจากคนงานไร่อ้อยยากจนและนักศึกษา
ตั้งชื่อตามกษัตริย์อินคา  Tupac Amaru ตูปั๊ก อาม๊าหรู่
 
ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือการลักพาตัวทางการเมือง
เอกอัครราชทูตอังกฤษ Geoffrey Jackson เจฟฟรีย์ แจ็คสัน
ถูกจับไปเป็นเวลาแปดเดือนในปี 1971
 
หลังจากปี 1973มีการรัฐประหารโดย
ประธานาธิบดี  Juan Maria  Bordaberry ฮวน มาเรีย บอร์ดาแบรี่
มีการปราบปรามอย่างหนักหน่วง
 
Mujica หมู่ฮิก๊า เป็นหนึ่งในกบฎหลายคนที่ถูกจำคุก
ต้องโทษจำคุก 14 ปีอยู่หลังลูกกรงเหล็ก  
จนกระทั่งมีรัฐบาลตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในปี 1985
 
เขามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงให้
บรรดาอดีตกองโจรติดอาวุธฝ่ายซ้าย ทูปาม๊าโรส Tupamaros 
ให้เป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย
โดยเข้าร่วมเป็นรัฐบาลผสมกับ Frente Amplio เฟร้นเตรียมพิโอ
 
เรียบเรียงจาก http://www.bbc.co.uk/news/magazine-20243493
 
เสียงภาษาสเปนจาก Google transalate

ข้อมูลทั่วไป
อุรุกวัยเป็นประเทศแรกในละตินอเมริกาที่เป็นรัฐสวัสดิการ
ด้วยการเก็บภาษีที่ค่อนข้างสูงในอุตสาหกรรม
และพัฒนาประเพณีระบบประชาธิปไตย 
ที่สมควรได้รับฉายาว่า "สวิตเซอร์แลนด์ของทวีปอเมริกาใต้"
 
แต่ความวุ่นวายทางการเมืองและเศรษฐกิจ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีของกองโจรติดอาวุธฝ่ายซ้ายในเขตเมือง
ในช่วงปี 1970 ทำให้รัฐบาลในช่วงนั้นต้องระงับใช้รัฐธรรมนูญ
และนำไปสู่ช่วงการปกครองของระบบทหารปกครองจนกระทั่งถึงปี 1985  
อุรุกวัยยังต้องดิ้นต่อสู้กับมรดกตกทอดทางการเมืองของระบบทหารในหลายปีที่ผ่านมา
 
การเมือง: รัฐบาลผสม Frente Amplio ก้าวสู่การมามีอำนาจในปี 2004 
ชนะการเลือกตั้งและได้รับเลือกตั้งอีกในครั้งที่สองในปี 2009
 
เศรษฐกิจ: อุรุกวัยฟื้นตัวจากเศรษฐกิจจากผลการเปลี่ยนแปลงในปี 2002  
ในขณะที่เศรษฐกิจในบราซิลกับอาร์เจนตินา อยู่ในภาวะถดถอย
 
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ :  ความสัมพันธ์กับอาร์เจนตินา
มีความตึงเครึยดทางการเมืองเพราะการสร้างโรงงานผลิตเยื่อกระดาษในอุรุกวัย 
บนฝั่งของแม่น้ำกั้นเขตแดนของทั้งสองประเทศ 
อาร์เจนตินาอ้างว่าจะสร้างมลภาวะทางน้ำและอากาศ
 
 
เทศกาลคานิวาล ที่เืมืองหลวง Motevideo เป็นงานประเพณีวัฒนธรรมประจำปี
 
ตั้งแต่การบูรณาการโดยรัฐบาลในระบบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง 
ระบบเศรษฐกิจเสรีที่ประสบความสำเร็จโดยรัฐบาล   
เขตเมืองที่เคยปกครองโดยเจ้าอาณานิคม 
บ้านพักตากอากาศตามชายหาด 
และอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี
ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเจริญเติบโต 
และเศรษฐกิจได้รับประโยชน์จากระบบเงินตราของธนาคารต่างชาติ
 
แต่ผลของการพึ่งพาการส่งออกปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ท
ำให้การส่งออกของอุรุกวัย เสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก 
การถดถอยทางเศรษฐกิจของบราซิลและอาร์เจนตินา  
ที่มีตลาดส่งออกหลักและรายได้หลักที่มาจากนักท่องเที่ยว  
ทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2002
 
 
เขตบ้านเก่าแก่สมัยอาณานิคมที่ Colonia del Sacramento 
ได้รับการอนุรักษ์เป็นมรดกโลก
 
ผลของการจ่ายคืนเงินกู้ยืมจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) 
และผลการปรับโครงสร้างของหนี้ต่างประเทศ
ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างเปราะบาง
แต่ผลของภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย 
มีผลทำให้ชาว Uruguayans หลายคน
ตกอยู่ในภาวะความยากจน
และทำให้คนหนุ่มสาวหลายพันคนอพยพไปทำงานที่ประเทศอื่น
 
ชาว Uruguayans จำนวนมากมีบรรพบุรุษมาจากยุโรป
ส่วนใหญ่เป็นชาวสเปนและชาวอิตาเลียน  
เป็นประเทศที่มีคนชั้นกลางจำนวนมากและมีขนาดใหญ่ 
และคนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกจริงจังต่อความไม่เสมอภาคทางด้านรายได้ 
แต่ชนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อสายแอฟริกันพื้นเมือง 
หรือชาวยุโรปผสมกับชนพื้นเมือง 
อยู่ในกลุ่มผู้คนที่ยากจนที่สุดของประเทศที่เริ่มมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
 
ในศตวรรษที่ 19  หลังจากอุรกวัยได้รับเอกราชและเป็นอิสระ 
ตามมาด้วยความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและสร้างความหายนะ
ระหว่างสมัครพรรคพวกทางการเมืองสองฝ่ายคือ  
Blancos เจ้าของที่ดิน (คนผิวขาว)
และ Colorados ชาวเมือง(สีแดง)

ข้อมูลสรุป
สาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย
ประชากร: 3.4 ล้าน (UN, 2011)
 เมืองหลวง: มอนเตวิเด Montevideo
 พื้นที่: 176,215 ตารางกิโลเมตร (68,037 ตารางไมล์)
 ภาษาหลัก: สเปน
 ศาสนาที่สำคัญ: ศาสนาคริสต์
 อายุประชาการเฉลี่ย: 74 ปี (ผู้ชาย), 81 ปี (หญิง) (UN)
 หน่วยเงิน: 1 เปโซอุรุกวัย = 100 centesimos
 สินค้าส่งออกหลัก: เนื้อ, ข้าว, ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง, ยานพาหนะ, ผลิตภัณฑ์นม,  ขนสัตว์, ไฟฟ้า
 GNI ต่อหัว: US $ 11,860 (World Bank, 2011)
 โดเมนอินเทอร์เน็ต: Uy
 รหัสโทรศัพท์ระหว่างประเทศ: 598


ลำดับเหตุการณ์สำคัญ
 
1516 – นักสำรวจชาวสเปน Juan Díaz de Solis ถูกฆ่าตายโดยคนพื้นเมือง
ในขณะที่สำรวจ Rio de la Plata การตายของเขาทำให้การตกเป็นอาณานิคม
ของยุโรปล่าช้าไปอีกนานกว่า 100 ปี
1726 – ชาวสเปนพบเมือง Montevideo และมีชัยเหนืออุรุกวัยที่ปกครองโดยโปรตุเกส  
ทำให้คนพื้นเมืองหลายคนถูกฆ่า
1776 – อุรุกวัยกลายเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองโดยอุปราช  La Plata 
ที่มีเมืองหลวงอยู่ที่บัวโนสไอเรส Buenos Aires
1808 - อุรุกวัยก่อการกบฏกับอุปราช La Plata 
ตามด้วยการล้มล้าง/บดขยี้ระบอบกษัตริย์สเปนโดย นโปเลียนโบนาปาร์ (จักรพรรดิ์นโปเลียนของฝรั่งเศส)
1812-1820 – คนตะวันออก Orientales หรือชาว Uruguayans 
จากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำพลาตา  การต่อสู้กับผู้รุกรานชาวอาร์เจนตินาและชาวบราซิล
 

อุรุกวัยได้แชมป์ฟุตบอลโลกด้วยการชนะประเทศเื่พื่อนบ้านอาร์เจนตินา
ด้วยผลคะแนน 4-2 ในรอบชิงชนะเลิศปี 1930
Uruguay won the first ever football World Cup,
beating neighbours Argentina  4-2 in the 1930 final

เอกราชและสงคราม
 
1828 - บราซิลและอาร์เจนตินายอมสละสิทธิเหนือดินแดนซึ่งกลายเป็นสาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย
1830 - ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
1838-1865 - สงครามกลางเมืองระหว่าง Blancos หรือพวกขาว(พรรคอนุรักษ์นิยมในเวลาต่อมา)
และ Colorados หรือพวกแดง (พรรคเสรีนิยมในเวลาต่อมา)
1865-1870 - อุรุกวัยร่วมมืออาร์เจนตินาและบราซิลในการทำสงครามที่มีชัยชนะเหนือปารากวัย
1903-1915 – นักปฏิรูป José Batlle y Ordonez (พรรค Colorados) 
ออกกฎหมายให้ผู้หญิงได้รับสิทธิพิเศษทางการเมืองและประกาศเป็นรัฐสวัสดิการ 
ยกเลิกอำนาจศาสนาจักรและยกเลิกโทษประหารชีวิต ในช่วงสองสมัยที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
1933 - กลุ่มฝ่ายค้านถูกห้ามดำเนินทางการเมืองผลจากการรัฐประหารของทหาร
1939-1945 - สงครามโลกครั้งที่ 2 อุรุกวัยวางตัวเป็นกลางในช่วงต้น ๆ ของสงครามเป็นส่วนมาก
แต่ต่อมาเข้าร่วมกับพันธมิตร
1951 – ประธานาธิบดีถูกทำหน้าที่แทนด้วยคณะกรรมาธิการจำนวนเก้านาย ผลจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่


เมืองหลวงที่มีสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคม หาดทรายและท่าเรือที่คับคั่ง
The capital boasts colonial architecture, sandy beaches and a busy port

เผด็จการ สงครามกองโจร และการหวนกลับคืนสู่ระบบประชาธิปไตย
 
1962 - โฆษณาชวนเชื่อของกองโจรติดอาวุธฝ่ายซ้าย Tupamaros  เริ่มต้นและสิ้นสุดในปี 1973
1971 – เอกอัครราชทูตอังกฤษในอุรุกวัย  เจฟฟรีย์ แจ็คสัน Geoffrey Jackson 
ถูกลักพาตัวไปโดยกองโจรติดอาวุธฝ่ายซ้าย Tupamaros 
และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระในเวลาแปดเดือนต่อมา 
เขาเป็นอิสระหลังจากการแหกคุกครั้งใหญ่ที่นำโดยนักโทษ Tupamaros  
แต่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิเสธในเรื่องนี้ว่าไม่เกี่ยวกับการแลกกับการปล่อยตัวประกัน
1972 – มีผู้รอดชีวิตจำนวนสิบหกคน จากเครื่องบินอุรุกวัยตกในเทือกเขา Andes 
พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยการกินเนื้อของผู้โดยสารที่เสียชีวิต  ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่
เป็นสมาชิกองทีมรักบี้อุรุกวัยรักบี้ หลังจากที่ติดอยู่บนเขาเป็นเวลา 10 สัปดาห์
1973 - กองทัพยึดอำนาจและให้สัญญาว่าจะส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ 
แต่นำไปสู่ช่วงการปราบปรามที่รุนแรงทีสุด ในระหว่างช่วงนี้  
อุรุกวัยกลายเป็นที่ รู้จักในฐานะประเทศที่มีชื่อว่า   "ห้องทรมานจากละตินอเมริกา" 
และมียอดนักโทษการเมืองสะสมมากที่สุด ถ้านับต่อหัวกับประเทศอื่น ๆ ในโลก
1984 – มีการประท้วงอย่างรุนแรงต่อต้านการปราบปราม 
และไม่พอใจกับสภาพเศรษฐกิจที่เลวร้ายมากขึ้น
1985 – กองทัพและผู้นำทางการเมืองเห็นพ้องต้องกันว่า
รัฐบาลควรกลับไปสู่การปกครองตามรัฐธรรมนูญ และเริ่มปล่อยตัวนักโทษการเมือง 
มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับทหาร/สมาชิกกองกำลังติดอาวุธ
ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน  ในช่วงการปกครองของระบอบ
เผด็จการทหารที่มีประธานาธิบดีชื่อ อูลี มารี แซงกียแนตตี Julio Maria Sanguinetti
1989 - มีการลงประชามติรับรองการนิรโทษกรรมสำหรับการกระทำความผิดโดยไม่ชอบต่อสิทธิมนุษยชน 
และ ลากาเย เรลา Lacalle Herrera ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
1994 - Julio Maria Sanguinetti ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
1999 - โฮเซ่ว่าเกส Jorger Batlle ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
2000 - คณะกรรมการเริ่มต้นสืบสวนชะตากรรมของคนจำนวน 160 คน
ที่สูญหายไปในระหว่างช่วงปีที่ปกครองโดยเผด็จการทหาร
2002 เมษายน – อุรุกวัยยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับคิวบา 
หลังจากคิวบากล่าวหาว่าเป็นสุนัขรับใช้สหรัฐ ในการให้การสนับสนุนมติสหประชาชาติ 
ที่เรียกกันว่า  ฮาวานา  Havana ในการปฏิรูปการใช้สิทธิมนุษยชน

วิกฤตการณ์ทางการเงิน
 
2002 พฤษภาคม - มาตรการฉุกเฉิน ได้แก่ การเพิ่มภาษี ที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Batlle 
ในความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินจากที่ลุกลามข้ามพรมแดน
2002 สิงหาคม – รัฐบาลสั่งให้ธนาคารปิดทำการให้บริการเกือบหนึ่งสัปดาห์ 
เพื่อจะหยุดยั้งการถอนเงินฝากสะสมของประชาชน มีการประท้วงเกิดขึ้นทั่วไป
กับการเกิดขึ้นของภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ
2003 เมษายน - ธนาคารโลกอนุมัติเงินกู้มีมูลค่ามากกว่า $ 250m (7,500,000,000.-บาท
2003 ธันวาคม - มีการลงประชามติปฏิเสธแผนการที่จะเปิดประเทศจากการผูกขาดน้ำมันของรัฐ
เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้
2004 พฤษภาคม – วุฒิสภาไม่รับรองกฎหมายที่ให้มีการทำแท้งได้

โรงงานผลิตเยื่อกระดาษที่เป็นปัญหาข้อพิพาทกับอาร์เจนตินา

การเมืองเปลี่ยนขั้วเป็นพรรคฝ่ายซ้าย
 
2004 พฤศจิกายน - พรรคฝ่ายซ้าย Tabare Vazquez  ชนะการเลือกตั้ง
ได้เป็นประธานาธิบดีทำให้การเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2005 มีนาคม - ประธานาธิบดี Vazquez  ให้คำมั่นสัญญาว่าภายในไม่กี่ชั่วโมง 
เขาจะเริ่มคืนดีในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับคิวบา และได้ลงนามข้อตกลง
ทางด้านพลังงานกับเวเนซุเอลา พร้อมประกาศประชานิยมรัฐสวัสดิการ
เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาความยากจน
2005 ธันวาคม – ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์พบซากศพมนุษย์ 
ที่คาดว่าเป็นเหยื่อของการปกครองโดยเผด็จการทหาร 
ประธานาธิบดี Vazquez สั่งการให้ค้นหาข้อเท็จจริงโดยเร็วหลังจากที่เริ่มทำงาน
2006 กรกฎาคม - ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศปฏิเสธคำร้องของประเทศอาร์เจนตินา
ที่ให้ระงับการก่อสร้างโรงงานผลิตเยื่อกระดาษทั้งสองแห่งของอุรุกวัย  
ขณะที่อุรุกวัยปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าโรงงานจะก่อให้เกิดมลภาวะในเขตพื้นที่ชายแดน
2006 พฤศจิกายน – อดีตประธานาธิบดีที่เคยเป็นเผด็จการและกลับมาสู่ระบบการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย
Julio Maria Bordaberry และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ
ในยุคของเขาถูกจับกุมในข้อห้าร่วมกันฆ่าคู่แข่งทางการเมืองจำนวนสี่นายในปี 1976
2006 ธันวาคม – อุรุกวัยจ่ายคืนหนี้จำนวนพันล้านดอลลาร์ ที่กู้ยืมมาจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
2007 พฤษภาคม – รัฐสภาของประเทศในกลุ่มตินอเมริกา ประกาศการเข้าร่วมมือกันทางการค้า
แบบกลุ่มความร่วมมือกัน  Mercosur  โดยมีสถานที่ตั้งในเมืองหลวงมอนเตวิเด
2007 กันยายน - ชาว Argentineans หลายร้อยคน ข้ามเข้าไปในเขตแดนประเทศอุรุกวัย
เพื่อประท้วงโรงงานผลิตเยื่อกระดาษกระดาษ ซึ่ง ประเทศอาร์เจนตินาและนักวิชาการสิ่งแวดล้อม 
กล่าวหาว่าทำให้แม่น้ำเป็นมลพิษ
2008 มิถุนายน – ประธานาธิบดีวาสเกซ ประกาศการค้นพบสิ่งที่อาจเป็นหลุมก๊าซธรรมชาติ
ขนาดใหญ่ออกของอุรุกวัยนอกชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก


ผู้นำกองทัพในช่วงปี 1970 Julio Maria Bordaberry

อดีตเผด็จการถูกตัดสินจำคุก
 
2009 ตุลาคม - ศาลฎีกาชี้ขาดว่าว่ากฎหมายป้องกันเจ้าหน้าที่รัฐบาลทหาร
พ้นจากการถูกดำเนินคดีในการละเมิดสิทธิมนุษยชน  ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ
อดีตนายทัพทหาร Gregorio Alvarez ถูกตัดสินจำคุก 25 ปี
ในข้อหาฆาตกรรมและละเมิดสิทธิมนุษยชน
กลุ่มพันธมิตร Frente Amplio ชนะการเลือกตั้งเข้าสู่รัฐสภา
2009 พฤศจิกายน – อดีตกบฎฝ่ายซ้ายกบฎหันหน้ามาร่วมมือกันกับ Frente Amplio 
ทำให้ Jose Mujica โฮเซ่ หมู่ฮิก่า ผู้บริหารของ Frente Amplio 
ชนะการเลือกตั้งได้รับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี
2010 กุมภาพันธ์ – อดีตประธานาธิบดี Julio Maria Bordaberry  
ถูกตัดสินจำคุก 30 ปีในข้อหาฆาตกรรมและการละเมิดรัฐธรรมนูญ ในการทำรัฐประหาร ปี 1973 
แต่เพราะอายุที่มากของเขา  ทำให้เขาต้องโทษจำคุกภายในบ้านพักของตนเองและเสียชีวิตในปี 2011
2010 มีนาคม - Jose Mujica หมู่ฮิก๊า รับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี
2011 ตุลาคม - รัฐสภาลงมติยกเลิกกฎหมายนิรโทษกรรมที่ป้องกันทหารจากการถูกดำเนิน 
คดีการก่ออาชญากรรมภายใต้การปกครองของเผด็จการทหารใน 1975-1983
2012 กรกฎาคม - รัฐบาลเริ่มทำการศึกษาเรื่องกัญชาไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมาย
2012 ตุลาคม – อุรุกวัยจะกลายเป็นประเทศแรกในละตินอเมริกาหลังจากประเทศคิวบา
ที่อนุญาตให้เป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมายในการทำแท้งสำหรับผู้หญิงทุกคน 
วุฒิสภาลงมติให้จำกัดเพียงภายใน 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
 
 http://www.oknation.net/blog/ravio/2012/11/18/entry-1

คลังบทความของบล็อก